วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ประโยคภาษาอังกฤษที่คนไทยมักพูดผิดอยู่เสมอ
เนื่องจากคนไทยเรามีภาษาประจำชาติ และใช้กันเป็นทางการคือภาษาไทย ดังนั้นในการพูดภาษาอังกฤษให้ถูกต้อตามแบบฉบับเจ้าของภาษา native speaker 100% นั้น เป็นอะไรที่เป็นไปได้ยากมาก แม้กระทั่งการเรียนภาษาอังกฤษเอง เราก็เรียนแบบวิธีการท่องจำ ได้ฝึกปฏิบัติ ฝึกพูดสนทนาก็แค่ในห้องเรียน พอออกจากห้องเรียนเราก็ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาในการสื่อสาร ดังนั้นจึงไม่แปลกหากคนไทยเราจะใช้ภาษาที่ผิดเพี้ยน สับสนไป งั้นเรามาดูกันเลยค่ะประโยคในภาษาอังกฤษประโยคใดบ้างที่เราๆมักพูดผิดๆกัน
- ประโยคที่ใช้ผิด “Where you go?” “คุณไปไหน” จริงๆแล้วถือว่าผิดเนื่องจากไม่มีคำกริยาในประโยค เป็นภาษาพูดแบบง่ายๆ ฝรั่ง(พยายาม)เข้าใจ เแต่ผิดตามหลักไวยากรณ์
- “Where are you going?”
- ประโยคที่ใช้ผิด “I sorry.” “ฉันเสียใจ” ผิดตามหลักไวยากรณ์
- “I am sorry.” ต้องมี verb to be หน้าคำว่า sorry
- ประโยคที่ใช้ผิด “Don’t be worry.” “อย่ากังวลใจไปเลย” ผิดตามหลักไวยากรณ์
- “Don’t worry.” ไม่ต้องมี be เนื่องจากคำว่า worry เป็นคำกริยา
- ประโยคที่ใช้ผิด “Don’t serious.” ไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำว่า serious เป็นคำ adjective หรือคำคุณศัพท์ ดังหน้าหน้าคำว่า serious ต้องมีคำว่า beเป็นคำกริยาช่วยมาด้วย
- “Don’t be serious.”อย่าจริงจังเกินไปเลย
- ประโยคที่ใช้ผิด “No have” “ไม่มี” ผิดตามหลักไวยากรณ์
- “I don’t have money.” ต้องใช้ do หรือ does ในการแต่งประโยคปฏิเสธ
- ประโยคที่ใช้ผิด “I will telephone you.” ไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำว่า telephone เป็นคำนาม
- “I will call you.”ผมจะโทรหาคุณ è คำว่า call เป็นคำกริยา แปลว่า โทร
- ประโยคที่ใช้ผิด “Please listen me.” ไม่ถูกต้อง หลังคำว่า listen ต้องมี to เป็นคำบุรพบท
- “Please listen to me.”กรุณาฟังผม
- ประโยคที่ใช้ผิด “I want go home.” ไม่ถูกต้อง หลังคำว่า want ต้องมี to เป็นคำบุรพบท
- “I want to go home.”ผมอยากกลับบ้าน
- ประโยคที่ใช้ผิด “I want go home.” ไม่ถูกต้อง หลังคำว่า want ต้องมี to เป็นคำบุรพบท
- “I want to go home.”ผมอยากกลับบ้าน
- ประโยคที่ใช้ผิด “I can to speak English.” ไม่ถูกต้อง เพราะหลังคำว่า can ไม่ต้องมี to มาตาม สามรถตามด้วยคำกริยาได้เลย
- “I can speak English.”ผมสามารถพูดภาษาอังกฤษ
เรื่องของการขออนุญาตไปห้องน้ำ หรือขออนุญาตทำธุระสิ่งต่างๆในห้องน้ำเราสามารถขออนุญาตโดยใช้คำขออนุญาตต่างๆดังนี้ได้ค่ะ
การขออนุญาตเราจะใช้คำขออนุญาตโดยใช้ May I …….?
เช่น May I go to the toilet, please?
May I go to the restroom, please?
May I go to the bathroom, please?
May I go to the washroom, please?
นอกจากนั้น ยังสามารถใช้คำว่า use แปลว่า ใช้ ในการขออนุญาตใช้ห้องน้ำได้เช่นกันนะคะ
- May I use the toilet?
- May I use the restroom?
- May I use the bathroom?
- May I use the washroom?
- May I use the water closet?
ถัดมาภาษาที่มักใช้กันอย่างไม่เป็นทางการ แต่คนมักใช้พูดในการสื่อความหมายการทำธุระ หรือกิจกรรมต่างๆในห้องน้ำได้แก่
- number one
หมายถึง การทำธุระเบา หรือการปวดปัสสาวะ
- number two
- การทำธุระหนัก หรือการปวดอุจจาระ
John: Is there any toilet around here? I have number two.
ส่วนคำศัพท์ที่แปลว่า ฉี่ จริงๆแล้วมีสามคำ ได้แก่ urinate ยู รี เนท ซึ่งใช้เป็นทางการทางการแพทย์ คำที่สองคือ pee ใช้สำหรับพูดคุยกับเด็ก และ piss
ตัวอย่างประโยคในการพูด
ไม่เป็นทางการ
“I’m going number 1.” ถ่ายหนัก
“I’m going number 2.” ถ่ายเบา
“I need to pee.” ฉันปวดฉี่ (ใช้พูดกับเพือน คนในครอบครัว หรือคนที่สนิทกัน)
“I’m gonna poo(p).” ฉันจะไปอึ (ใช้พูดกับเพือน คนในครอบครัว หรือคนที่สนิทกัน)
รวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ...ออกเสียงผิด ชีวิตเปลี่ยน!!!
1. Asia
เริ่มกันที่คำศัพท์ที่เราคุ้นเคยกันอยู่เป็นประจำเวลาที่ฝรั่งมาถามว่าคุณเป็นคนอะไร? แล้วอยากจะตอบเขาไปว่า “ฉันเป็นคนเอเชีย” หรือ “Asian” จะต้องอ่านออกเสียงว่า “เอ-แฉ็น” ส่วนคำว่า “Asia” ที่แปลว่า “ทวีปเอเชีย” คนไทยส่วนใหญ่จะออกเสียงตรงตัวว่า “เอ-เซีย” บ้าง “อา-เซีย” บ้าง แต่ความจริงแล้วศัพท์็คำนี้จะต้องออกเสียงว่า “เอ-ฉะ” ดังนั้น “south east asia” หรือทวีปเอเชียอาคเนย์ ก็ต้องออกเสียงเป็น “เซาท์-อีส-เอ-ฉะ” เช่นเดียวกัน
2.Tuition
สำหรับนักเรียนนักศึกษาจะต้องเจอศัพท์คำนี้อยู่เป็นประจำ “Tuition” ที่แปลว่า “ค่าเทอม ค่าเล่าเรียน” และเชื่อได้เลยว่ามีอีกหลายคนที่ออกเสียงคำศัพท์คำนี้ผิดไปอย่างมหันต์ว่า “ทุย-ชั่น หรือ ตุ๋ย-ฉัน” งานนี้ตัวใครตัวมัน ฝรั่งมีงง คนไทยมีขำกันแน่นอนว่าอะไรคือ “ตุ๋ย-ฉัน” ซึ่งที่ถูกต้องแล้วคำว่า“tuition” จะต้องอ่านออกเสียงว่า “ทู-วิ-เชิน” ไม่เช่นนั้น ออกเสียงคำนี้ผิดชีวิตคุณเปลี่ยนแน่นอน!!!
3. Comfortable/ Vegetable
คำนี้เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่ไม่เชิงว่าออกเสียงผิดซะทีเดียว แต่เป็นการเน้นเสียงที่ผิดมากกว่า “comfortable” คนไทยส่วนใหญ่จะอ่านออกเสียงตรงตัวว่า “คอม-ฟอร์ท-ทะ-เบิล” ที่แปลว่า “สบาย” อันจริงแล้วคำนี้จะต้องออกเสียงเน้นหนักที่พยางค์แรก ส่วนพยางค์ที่สองแทบไม่ออกเสียงเลย การออกเสียงที่ถูกต้องจึงต้องอ่านว่า “คัมฟ-ทะ-เบิล” ห้ามออกเสียง “ฟอร์ท” โดยเด็ดขาด ออกเสียง “ฟึ่ท” สั้นๆ เบาๆ อยู่ในลำคอนิดเดียวเท่านั้น คล้ายกับคำว่า“vegetable” ที่แปลว่า “ผัก” ต้องอ่านว่า “เว็ท-ทะ-เบิล” ไม่ใช่ “เว็จ-เจ็ท-ทะ-เบิล” นะเด็กๆ
4. Suite/ Suit
เวลาที่คุณจะไปพักโรงแรมแล้วต้องการห้องหรูหรา ที่คนไทยมักจะเรียกว่า “ห้องสูท” ในภาษาอังกฤษจะหมายถึง “suit” ที่แปลว่า ชุดสูท แต่เมื่อเติมตัว“e” เข้าไปก็จะกลายเป็น “suite” ที่แปลว่า “ห้องชุดหรูหราในโรงแรม” หลายคนจึงเข้าใจผิดว่าจะต้องออกเสียงเหมือนกันคือ “สูท” และถ้าไปพูดกับฝรั่งว่า“I want a suite room.” แล้วดันออกเสียงว่า “สูท-รูม” ความหมายจะเปลี่ยนทันทีกลายเป็น “ฉันต้องการห้องเก็บชุดสูท” เพราะคำศัพท์ที่แปลว่า “ห้องชุดในโรงแรม” ต้องออกเสียงว่า “ส-วีท” ไม่ใช่ “สูท” เหมือนที่คนไทยหลายคนเข้าใจกัน
5. Yoga
“โยคะ” กีฬายอดนิยมสำหรับสาวๆ ในยุคนี้ เป็นอีกหนึ่งคำที่เราต้องเรียนรู้การออกเสียงที่ถูกต้อง เพราะเวลาที่ฝรั่งถามคุณว่า “Do you like yoga?” (ดู-ยู-ไลค์-โย-เกอะ) คำนี้ “yoga” ในภาษาอังกฤษฝรั่งจะออกเสียงว่า “โย-เกอะ” แต่คนไทยจะออกเสียงว่า “โย-คะ” เช่นเดียวกันถ้าจะตอบฝรั่งว่า “เล่นโยคะ” จะต้องใช้คำว่า “do yoga” ไม่ใช่ “play yoga”
6. Error
ศัพท์คำนี้จะได้ยินบ่อยเวลาที่เราใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แล้วอยู่ๆ เครื่อง “error” คนไทยก็จะพูดว่าเครื่อง “เออ-เร่อ” ขึ้นมาทันที ซึ่งใช่กันอย่างแพร่หลายและเข้าใจกันผิดมาตลอด คำว่า “error” ที่แปลว่า “ข้อผิดพลาด, ความคลาดเคลื่อน” ที่ถูกต้องแล้วจะอ่านว่า “แอ-เร่อะ” ออกเสียงเน้นหนักที่พยางค์แรก ส่วนพยางค์หลังออกเสียงเบาๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นอันถูกต้อง
7. Fragile
“Fragile” คำนี้จะพบบ่อยในป้ายสติ๊กเกอร์ภาษาอังกฤษที่ติดไว้สำหรับสิ่งของที่ “เปราะบาง” เพื่อระวังของแตก หัก พัง นั่นเอง และแน่นอนว่าคนไทยส่วนใหญ่มักจะอ่านป้ายคำนี้ว่า “ฟรา-จิ้ล” อันนี้ผิดอย่างแน่นอน การออกเสียงที่ถูกสำหรับศัพท์คำนี้ก็คือ “แฟรก-ไจล์” เวลาที่เราจะพูดกับฝรั่งว่าให้ระวังสิ่งของในกล่อง หรือในกระเป๋า แตกหักต้องพูดว่า “แฟรก-ไจล์” ไม่ใช่ "ฟรา-จิ้ล" ใครที่เคยพูดแบบนี้เปลี่ยนด่วน!!!
8. Dove
ศัพท์คำนี้มั่นใจว่าคนไทยต้องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน เพราะเป็นคำที่ใช้เรียกโฆษณาผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งว่า “โดฟ” และเข้าใจว่าเป็นความหมายของ“นกเขา” ในภาษาไทยเวลาเราพูดถึงสัญลักษณ์สันติภาพก็จะนึกถึงนกสีขาว นั่นคือนกพิราบขาว แต่ในภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งอื่นๆ นกที่เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพคือ “นกเขาสีขาว” ซึ่งก็คือคำว่า “dove” และอ่านออกเสียงว่า “เดิฟ” ไม่ใช่ “โดฟ” ไม่เช่นนั้นอาจจะหมายถึง “dove (โด๊ฟ)” ที่เป็นรูปอดีตของ“dive” ที่แปลว่า “ดำน้ำ, กระโดดลงน้ำ” ซึ่งมีความหมายต่างกัน
9. Sword
ศัพท์คำนี้มักจะพบบ่อยในชื่อหนัง หรือเกมส์ ที่มีการใช้ “ดาบ” ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง “Shadow of the Sword" คำว่า “sword” คนไทยหลายคนมักออกเสียงคำศัพท์นี้ผิดว่า “สะ-หวอด” ตรงตัวเป๊ะ แต่นั่นเป็นการออกเสียงอ่านที่ผิด ที่ถูกต้องจะต้องออกเสียง “sword” ว่า “ซอร์ด” สั้นๆ พยางค์เดียว ตัดเสียง “W” ออกไปก็จะได้คำอ่านที่ถูกต้อง
10. Receipt/ Debt
“receipt” คำนี้จะต้องอ่านออกเสียงว่า “รี-ซีท” ที่แปลว่า “ใบเสร็จ” ไม่ใช่ “รี-ซิป” เหมือนที่หลายคนเข้าใจและอ่านคำนี้ผิดอยู่บ่อยๆ เทคนิคการจำก็คือ คำที่ลงท้ายด้วย “pt” ตัว “p” จะไม่ออกเสียง เช่นเดียวกับคำที่มักออกเสียงผิดบ่อยๆ อีกหนึ่งคำ “debt” ที่แปลว่า “หนี้สิน” มักได้ยินคนอ่านออกเสียงคำนี้ว่า"เด็บ" คำที่ลงท้ายด้วย “bt” ตัว “b” จะไม่ออกเสียงด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นที่ถูกต้องจะต้องอ่านว่า “เด็ท” ห้ามใช้ “เด็บ” โดยเด็ดขาด
11. Juice/ Cruise
อีกหนึ่งคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรามักพบบ่อยในชีวิตประจำวัน และต้องเรียกได้ว่าใช่ผิดกันเป็นประจำด้วยเช่นกัน คำแรกคือคำว่า “juice” ที่แปลว่า “น้ำผลไม้” แต่หลายคนมักออกเสียงว่า “จุ๊ยส์” นั่นเป็นการออกเสียงที่ผิด ที่ถูกต้องแล้วต้องอ่านว่า “จูซ” น้ำผลไม้ เช่นเดียวกับคำว่า “cruise” การล่องเรือ ที่มักจะได้ยินคนไทยพูดว่า “ครุยส์” ความจริงแล้วต้องออกเสียงว่า “ครูซ” ถึงจะถูกต้อง โดยทั้งสองคำศัพท์มีเทคนิคการจำอยู่ที่ เมื่อมี “_ui_” อยู่ในคำศัพท์นั้นๆ มักจะออกเสียง “สระอู” ลากเสียงยาวๆ ด้วยนะอย่าลืม
12. Science/ Scientist
ศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลว่า “วิทยาศาสตร์” ที่หลายคนมักออกเสียงผิดโดยการอ่านว่า “ซาย” ถ้าฝรั่งฟังแล้วจะเข้าใจว่า “sigh (ซาย)” ที่แปลว่า “ถอนหายใจ” หรือ “sign (ซาย-น)” ที่แปลว่า “ป้าย” นั่นเอง ถ้าจะสื่อความหมายของ “science” ที่แปลว่า “วิทยาศาสตร์” ต้องออกเสียงว่า “ไซ-เยินซ” ส่วน“Scientist” ก็ต้องออกเสียงว่า “ไซ-เยิน-ทิซ” หรือ นักวิทยาศาสตร์ นั่นเอง
13. Volume/ Value
ศัพท์ชุดตัว “วี” เจ้าปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดจึงมักออกเสียงผิดอยู่เป็นประจำ คำแรกคือ “volume” ที่แปลว่า “เสียง” คนไทยส่วนใหญ่จะออกเสียงว่า “วอ-ลุ่ม” ให้ได้ยินอยู่เป็นประจำ แม้ว่าคนไทยฟังแล้วจะเข้าใจกันเอง แต่ออกเสียงแบบนี้รับรองฝรั่งงง!!! เพระาที่ถูกต้องแล้วศัพท์คำนี้ต้องออกเสียงว่า“โวล-ยุ่ม” เช่นเดียวกับคำว่า “value” ที่แปลว่า “มูลค่า” ที่ไม่ได้ออกเสียงว่า “แว-ลู่” แต่ต้องอ่านออกเสียงว่า “แฟ-ยิ่ว” อาจฟังดูไม่ค่อยคุ้นสำหรับบางคนอยู่สักหน่อย ขอเพียงแต่ให้เรามั่นใจว่าเราออกเสียงถูกต้องเป็นอันใช้ได้
14. Onion/ Iron
"onion" เชื่อว่าคนไทยหลายคนต้องออกเสียงคำนี้ว่า “ออ-เนี่ยน” ที่แปลว่า "หัวหอม" แต่นั่นเป็นการออกเสียงที่ผิด ที่ถูกต้องแล้วจะต้องอ่านออกเสียงว่า “อันเยิน” หรืออีกหนึ่งคำที่ออกเสียงคำท้ายคล้ายๆ กันนั่นก็คือ “iron” ที่แปลว่า “เหล็ก, เตารีด” แต่เรามักได้ยินคนไทยออกเสียงคำนี้ว่า “ไอ-รอน หรือ ไอ-ออน” ซึ่งความจริงแล้วคำนี้จะต้องออกเสียงว่า “ไอ-เยิร์น” ดังนั้นภาพยนตร์สุดฮิตมนุษย์เหล็กใส่ชุดสีแดง “Iron Man” ก็จะต้องออกเสียงว่า “ไอ-เยิร์น-แมน” ไม่ใช่ “ไอ-รอน-แมน” นะจ๊ะ
15. Chaos/ Architect
หลายคำในภาษาอังกฤษที่พอเราเห็นคำขึ้นต้นเป็น “ch” ก็มักจะออกเสียงเป็นตัว “ช” เช่นเดียวกับคำว่า “chaos” ที่พอเห็นว่าขึ้นต้นด้วย ch ก็อ่านออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “ชา-ออส หรือ เช้าท์” ในทันที ซึ่งต้องจำไว้เลยว่าศัพท์บางคำในภาษาอังกฤษก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน เช่นเดียวกับคำว่า "chaos" จะต้องออกเสียงว่า “เค-ออส” ที่แปลว่า “ความยุ่งเหยิง” เช่นเดียวกับศัพท์คำว่า “architect” ทีแปลว่า “สถาปนิก” จะต้องอ่านว่า “อาร์-คิ-เท็คท”
16. Six/ Sick
ชุดคำศัพท์ที่ออกเสียงคล้ายกันก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เช่นนั้นออกเสียงเพี้ยนไปนิด แต่ผิดความหมายเยอะเว่อร์ อย่างเช่นคำว่า “six” ที่แปลว่า“หก” และ “sick” ที่แปลว่า “ป่วย” หลายคนออกเสียงเหมือนกันทำให้ฝรั่งเกิดอาการมึนและงงได้ เช่น ถ้าคุณจะบอกว่าคุณเป็นหมายเลข 6 แล้วพูดกับฝรั่งว่า“I am six. (ไอ-แอม-ซิค)” รับรองเลยว่าฝรั่งจะต้องตอบกลับมาว่า “Go to see the doctor!!!” อย่างแน่นอน เพราะ “sick” ที่แปลว่า ป่วย จะออกเสียงว่า“ซิค” ถ้าจะหมายถึงเลขหก “six” ให้ออกเสียงว่า “ซิคส” ออกเสียง “ส” ท้ายคำ
17. Island/ Iceland
อีกหนึ่งชุดคำศัพท์ที่ถ้าคุณออกเสียงผิดเมื่อไหร่ความหมายเปลี่ยนไปเมื่อนั้น อย่างคำว่า “Island” ที่แปลว่า “เกาะ” คำนี้ต้องจำไว้ว่าไม่ออกเสียงตัว “s”อ่านว่า “ไอ-เลินด์” ได้เลย หลายคนมักจะชอบออกเสียงโดยมีตัว “s หรือ ซ” ระหว่างคำเป็น “ไอซ-แลน” ซึ่งจะไปพ้องเสียงกับคำว่า “Iceland” ที่แปลว่า“ประเทศไอซ์แลนด์” นั่นเอง
18. Valley/ Medley/ Volleyball/ Harley
คำว่า “หุบเขา” ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า “valley” ที่คนไทยหลายคนมักจะออกเสียงว่า “วัน-เล่” ซึ่งฝรั่งก็จะฟังเป็นว่า “บริการรับฝากจอดรถ” ที่มาจากคำว่า “valet parking” จะเห็นได้ตามโรงแรมและร้านอาหารหรูๆ ทั่วไป “แวะ-เลย์-ปาร์ค-กิง” แต่ถ้าหมายถึง “หุบเขา” ต้องออกเสียงว่า “แวล-ลี” ต้องจำไว้เลยว่าถ้ามีคำว่า “ley” จะต้องออกเสียงว่า “ลี” เช่น medley (เมด-ลีย์) ไม่ใช่ (เมด-เล่), volleyball (เวาะ-ลีย์-บอล) ไม่ใช่ (วอล-เล่-บอล) หรือแม้แต่ “Harley Davidison” ก็ต้องออกเสียงว่า “ฮาร์-ลีย์-เด-วิด-เซิน” ที่หมายถึง “มอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ นั่นเองจึงจะถูกต้อง
19. Syrup/ Syringe/ Lyrics
“พี่ครับ ขอไซรัปเพิ่มหน่อยครับ” ป้ายผิดโชว์ขึ้นทันที ตืด..ตืด เพราะศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลว่า “น้ำเชื่อม” หรือ syrup ไม่ได้อ่านว่า “ไซ-รัป” แต่จะต้องอ่านว่า “ซิ-เริพ" แต่ก็ต้องทำใจไว้นิดนึงว่าถ้าเราไปพูดกับคนไทยอาจยังไม่เข้าใจเท่ากับคำว่า “ไซ-รัป” นั่นเอง แต่ถ้าพูดกับฝรั่งก็ควรจะออกเสียงให้ถูกต้อง เหมือนกับคำว่า “syringe” ที่แปลว่า “เข็มฉีดยา” ที่มักจะได้ยินว่า “ไซ-ลิงค์” ถ้าไปพูดกับฝรั่งก็อาจจะนึก สลิงที่ไว้สำหรับห้อยโหนได้ ที่ถูกต้องคำนี้จะต้องออกเสียงว่า “ซิ-รินจ” หรือคำว่า “lyrics” อีกหนึ่งคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีตัว “y” เป็นพยัญชนะตัวที่สอง ที่คนไทยหลายคนมักออกเสียงว่า “ไล-ริคซ”กันเยอะ ที่ถูกแล้วต้องออกเสียงว่า “ลิ-ริคซ” ที่แปลว่า “เนื้อเพลง” นั่นเอง
20. Singer / Singing/ Belonging(s)
"singer" ศัพท์ฮิตติดหูอีกหนึ่งคำที่เรามักจะได้ยินคนอ่านออกเสียงว่า “ซิง-เกอร์” ที่แปลว่า “นักร้อง” การออกเสียงที่ถูกต้องคือ “ซิง-เงอร์” ส่วนการร้องเพลง “singing” ก็จะต้องออกเสียงว่า “ซิง-งิง” ไม่ใช่ “ซิง-คิง” (singking) จะแปลว่า “จมน้ำ” ออกเสียงผิดความหมายเปลี่ยนในทันที เช่นเดียวกับคำว่า “belonging(s)” ที่แปลว่า ของมีค่า คนไทยมักออกเสียงผิดอยู่บ่อยๆ ว่า “บี-ลอง-กิง” ที่ถูกต้องแล้วต้องออกเสียงว่า “บี-ลอง-งิง” เหมือนกับคำว่า singing นั่นเอง
รวบรวมข้อมูลจาก : Click โดย ครูคริส, อาจารย์ Adam Bradshaw และอาจารย์ Andrew Biggs
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่ : campus.mgr2014@gmail.com
เริ่มกันที่คำศัพท์ที่เราคุ้นเคยกันอยู่เป็นประจำเวลาที่ฝรั่งมาถามว่าคุณเป็นคนอะไร? แล้วอยากจะตอบเขาไปว่า “ฉันเป็นคนเอเชีย” หรือ “Asian” จะต้องอ่านออกเสียงว่า “เอ-แฉ็น” ส่วนคำว่า “Asia” ที่แปลว่า “ทวีปเอเชีย” คนไทยส่วนใหญ่จะออกเสียงตรงตัวว่า “เอ-เซีย” บ้าง “อา-เซีย” บ้าง แต่ความจริงแล้วศัพท์็คำนี้จะต้องออกเสียงว่า “เอ-ฉะ” ดังนั้น “south east asia” หรือทวีปเอเชียอาคเนย์ ก็ต้องออกเสียงเป็น “เซาท์-อีส-เอ-ฉะ” เช่นเดียวกัน
2.Tuition
สำหรับนักเรียนนักศึกษาจะต้องเจอศัพท์คำนี้อยู่เป็นประจำ “Tuition” ที่แปลว่า “ค่าเทอม ค่าเล่าเรียน” และเชื่อได้เลยว่ามีอีกหลายคนที่ออกเสียงคำศัพท์คำนี้ผิดไปอย่างมหันต์ว่า “ทุย-ชั่น หรือ ตุ๋ย-ฉัน” งานนี้ตัวใครตัวมัน ฝรั่งมีงง คนไทยมีขำกันแน่นอนว่าอะไรคือ “ตุ๋ย-ฉัน” ซึ่งที่ถูกต้องแล้วคำว่า“tuition” จะต้องอ่านออกเสียงว่า “ทู-วิ-เชิน” ไม่เช่นนั้น ออกเสียงคำนี้ผิดชีวิตคุณเปลี่ยนแน่นอน!!!
3. Comfortable/ Vegetable
คำนี้เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่ไม่เชิงว่าออกเสียงผิดซะทีเดียว แต่เป็นการเน้นเสียงที่ผิดมากกว่า “comfortable” คนไทยส่วนใหญ่จะอ่านออกเสียงตรงตัวว่า “คอม-ฟอร์ท-ทะ-เบิล” ที่แปลว่า “สบาย” อันจริงแล้วคำนี้จะต้องออกเสียงเน้นหนักที่พยางค์แรก ส่วนพยางค์ที่สองแทบไม่ออกเสียงเลย การออกเสียงที่ถูกต้องจึงต้องอ่านว่า “คัมฟ-ทะ-เบิล” ห้ามออกเสียง “ฟอร์ท” โดยเด็ดขาด ออกเสียง “ฟึ่ท” สั้นๆ เบาๆ อยู่ในลำคอนิดเดียวเท่านั้น คล้ายกับคำว่า“vegetable” ที่แปลว่า “ผัก” ต้องอ่านว่า “เว็ท-ทะ-เบิล” ไม่ใช่ “เว็จ-เจ็ท-ทะ-เบิล” นะเด็กๆ
4. Suite/ Suit
เวลาที่คุณจะไปพักโรงแรมแล้วต้องการห้องหรูหรา ที่คนไทยมักจะเรียกว่า “ห้องสูท” ในภาษาอังกฤษจะหมายถึง “suit” ที่แปลว่า ชุดสูท แต่เมื่อเติมตัว“e” เข้าไปก็จะกลายเป็น “suite” ที่แปลว่า “ห้องชุดหรูหราในโรงแรม” หลายคนจึงเข้าใจผิดว่าจะต้องออกเสียงเหมือนกันคือ “สูท” และถ้าไปพูดกับฝรั่งว่า“I want a suite room.” แล้วดันออกเสียงว่า “สูท-รูม” ความหมายจะเปลี่ยนทันทีกลายเป็น “ฉันต้องการห้องเก็บชุดสูท” เพราะคำศัพท์ที่แปลว่า “ห้องชุดในโรงแรม” ต้องออกเสียงว่า “ส-วีท” ไม่ใช่ “สูท” เหมือนที่คนไทยหลายคนเข้าใจกัน
5. Yoga
“โยคะ” กีฬายอดนิยมสำหรับสาวๆ ในยุคนี้ เป็นอีกหนึ่งคำที่เราต้องเรียนรู้การออกเสียงที่ถูกต้อง เพราะเวลาที่ฝรั่งถามคุณว่า “Do you like yoga?” (ดู-ยู-ไลค์-โย-เกอะ) คำนี้ “yoga” ในภาษาอังกฤษฝรั่งจะออกเสียงว่า “โย-เกอะ” แต่คนไทยจะออกเสียงว่า “โย-คะ” เช่นเดียวกันถ้าจะตอบฝรั่งว่า “เล่นโยคะ” จะต้องใช้คำว่า “do yoga” ไม่ใช่ “play yoga”
6. Error
ศัพท์คำนี้จะได้ยินบ่อยเวลาที่เราใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แล้วอยู่ๆ เครื่อง “error” คนไทยก็จะพูดว่าเครื่อง “เออ-เร่อ” ขึ้นมาทันที ซึ่งใช่กันอย่างแพร่หลายและเข้าใจกันผิดมาตลอด คำว่า “error” ที่แปลว่า “ข้อผิดพลาด, ความคลาดเคลื่อน” ที่ถูกต้องแล้วจะอ่านว่า “แอ-เร่อะ” ออกเสียงเน้นหนักที่พยางค์แรก ส่วนพยางค์หลังออกเสียงเบาๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นอันถูกต้อง
7. Fragile
“Fragile” คำนี้จะพบบ่อยในป้ายสติ๊กเกอร์ภาษาอังกฤษที่ติดไว้สำหรับสิ่งของที่ “เปราะบาง” เพื่อระวังของแตก หัก พัง นั่นเอง และแน่นอนว่าคนไทยส่วนใหญ่มักจะอ่านป้ายคำนี้ว่า “ฟรา-จิ้ล” อันนี้ผิดอย่างแน่นอน การออกเสียงที่ถูกสำหรับศัพท์คำนี้ก็คือ “แฟรก-ไจล์” เวลาที่เราจะพูดกับฝรั่งว่าให้ระวังสิ่งของในกล่อง หรือในกระเป๋า แตกหักต้องพูดว่า “แฟรก-ไจล์” ไม่ใช่ "ฟรา-จิ้ล" ใครที่เคยพูดแบบนี้เปลี่ยนด่วน!!!
8. Dove
ศัพท์คำนี้มั่นใจว่าคนไทยต้องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน เพราะเป็นคำที่ใช้เรียกโฆษณาผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งว่า “โดฟ” และเข้าใจว่าเป็นความหมายของ“นกเขา” ในภาษาไทยเวลาเราพูดถึงสัญลักษณ์สันติภาพก็จะนึกถึงนกสีขาว นั่นคือนกพิราบขาว แต่ในภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งอื่นๆ นกที่เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพคือ “นกเขาสีขาว” ซึ่งก็คือคำว่า “dove” และอ่านออกเสียงว่า “เดิฟ” ไม่ใช่ “โดฟ” ไม่เช่นนั้นอาจจะหมายถึง “dove (โด๊ฟ)” ที่เป็นรูปอดีตของ“dive” ที่แปลว่า “ดำน้ำ, กระโดดลงน้ำ” ซึ่งมีความหมายต่างกัน
9. Sword
ศัพท์คำนี้มักจะพบบ่อยในชื่อหนัง หรือเกมส์ ที่มีการใช้ “ดาบ” ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง “Shadow of the Sword" คำว่า “sword” คนไทยหลายคนมักออกเสียงคำศัพท์นี้ผิดว่า “สะ-หวอด” ตรงตัวเป๊ะ แต่นั่นเป็นการออกเสียงอ่านที่ผิด ที่ถูกต้องจะต้องออกเสียง “sword” ว่า “ซอร์ด” สั้นๆ พยางค์เดียว ตัดเสียง “W” ออกไปก็จะได้คำอ่านที่ถูกต้อง
10. Receipt/ Debt
“receipt” คำนี้จะต้องอ่านออกเสียงว่า “รี-ซีท” ที่แปลว่า “ใบเสร็จ” ไม่ใช่ “รี-ซิป” เหมือนที่หลายคนเข้าใจและอ่านคำนี้ผิดอยู่บ่อยๆ เทคนิคการจำก็คือ คำที่ลงท้ายด้วย “pt” ตัว “p” จะไม่ออกเสียง เช่นเดียวกับคำที่มักออกเสียงผิดบ่อยๆ อีกหนึ่งคำ “debt” ที่แปลว่า “หนี้สิน” มักได้ยินคนอ่านออกเสียงคำนี้ว่า"เด็บ" คำที่ลงท้ายด้วย “bt” ตัว “b” จะไม่ออกเสียงด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นที่ถูกต้องจะต้องอ่านว่า “เด็ท” ห้ามใช้ “เด็บ” โดยเด็ดขาด
11. Juice/ Cruise
อีกหนึ่งคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรามักพบบ่อยในชีวิตประจำวัน และต้องเรียกได้ว่าใช่ผิดกันเป็นประจำด้วยเช่นกัน คำแรกคือคำว่า “juice” ที่แปลว่า “น้ำผลไม้” แต่หลายคนมักออกเสียงว่า “จุ๊ยส์” นั่นเป็นการออกเสียงที่ผิด ที่ถูกต้องแล้วต้องอ่านว่า “จูซ” น้ำผลไม้ เช่นเดียวกับคำว่า “cruise” การล่องเรือ ที่มักจะได้ยินคนไทยพูดว่า “ครุยส์” ความจริงแล้วต้องออกเสียงว่า “ครูซ” ถึงจะถูกต้อง โดยทั้งสองคำศัพท์มีเทคนิคการจำอยู่ที่ เมื่อมี “_ui_” อยู่ในคำศัพท์นั้นๆ มักจะออกเสียง “สระอู” ลากเสียงยาวๆ ด้วยนะอย่าลืม
12. Science/ Scientist
ศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลว่า “วิทยาศาสตร์” ที่หลายคนมักออกเสียงผิดโดยการอ่านว่า “ซาย” ถ้าฝรั่งฟังแล้วจะเข้าใจว่า “sigh (ซาย)” ที่แปลว่า “ถอนหายใจ” หรือ “sign (ซาย-น)” ที่แปลว่า “ป้าย” นั่นเอง ถ้าจะสื่อความหมายของ “science” ที่แปลว่า “วิทยาศาสตร์” ต้องออกเสียงว่า “ไซ-เยินซ” ส่วน“Scientist” ก็ต้องออกเสียงว่า “ไซ-เยิน-ทิซ” หรือ นักวิทยาศาสตร์ นั่นเอง
13. Volume/ Value
ศัพท์ชุดตัว “วี” เจ้าปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดจึงมักออกเสียงผิดอยู่เป็นประจำ คำแรกคือ “volume” ที่แปลว่า “เสียง” คนไทยส่วนใหญ่จะออกเสียงว่า “วอ-ลุ่ม” ให้ได้ยินอยู่เป็นประจำ แม้ว่าคนไทยฟังแล้วจะเข้าใจกันเอง แต่ออกเสียงแบบนี้รับรองฝรั่งงง!!! เพระาที่ถูกต้องแล้วศัพท์คำนี้ต้องออกเสียงว่า“โวล-ยุ่ม” เช่นเดียวกับคำว่า “value” ที่แปลว่า “มูลค่า” ที่ไม่ได้ออกเสียงว่า “แว-ลู่” แต่ต้องอ่านออกเสียงว่า “แฟ-ยิ่ว” อาจฟังดูไม่ค่อยคุ้นสำหรับบางคนอยู่สักหน่อย ขอเพียงแต่ให้เรามั่นใจว่าเราออกเสียงถูกต้องเป็นอันใช้ได้
14. Onion/ Iron
"onion" เชื่อว่าคนไทยหลายคนต้องออกเสียงคำนี้ว่า “ออ-เนี่ยน” ที่แปลว่า "หัวหอม" แต่นั่นเป็นการออกเสียงที่ผิด ที่ถูกต้องแล้วจะต้องอ่านออกเสียงว่า “อันเยิน” หรืออีกหนึ่งคำที่ออกเสียงคำท้ายคล้ายๆ กันนั่นก็คือ “iron” ที่แปลว่า “เหล็ก, เตารีด” แต่เรามักได้ยินคนไทยออกเสียงคำนี้ว่า “ไอ-รอน หรือ ไอ-ออน” ซึ่งความจริงแล้วคำนี้จะต้องออกเสียงว่า “ไอ-เยิร์น” ดังนั้นภาพยนตร์สุดฮิตมนุษย์เหล็กใส่ชุดสีแดง “Iron Man” ก็จะต้องออกเสียงว่า “ไอ-เยิร์น-แมน” ไม่ใช่ “ไอ-รอน-แมน” นะจ๊ะ
15. Chaos/ Architect
หลายคำในภาษาอังกฤษที่พอเราเห็นคำขึ้นต้นเป็น “ch” ก็มักจะออกเสียงเป็นตัว “ช” เช่นเดียวกับคำว่า “chaos” ที่พอเห็นว่าขึ้นต้นด้วย ch ก็อ่านออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “ชา-ออส หรือ เช้าท์” ในทันที ซึ่งต้องจำไว้เลยว่าศัพท์บางคำในภาษาอังกฤษก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน เช่นเดียวกับคำว่า "chaos" จะต้องออกเสียงว่า “เค-ออส” ที่แปลว่า “ความยุ่งเหยิง” เช่นเดียวกับศัพท์คำว่า “architect” ทีแปลว่า “สถาปนิก” จะต้องอ่านว่า “อาร์-คิ-เท็คท”
16. Six/ Sick
ชุดคำศัพท์ที่ออกเสียงคล้ายกันก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เช่นนั้นออกเสียงเพี้ยนไปนิด แต่ผิดความหมายเยอะเว่อร์ อย่างเช่นคำว่า “six” ที่แปลว่า“หก” และ “sick” ที่แปลว่า “ป่วย” หลายคนออกเสียงเหมือนกันทำให้ฝรั่งเกิดอาการมึนและงงได้ เช่น ถ้าคุณจะบอกว่าคุณเป็นหมายเลข 6 แล้วพูดกับฝรั่งว่า“I am six. (ไอ-แอม-ซิค)” รับรองเลยว่าฝรั่งจะต้องตอบกลับมาว่า “Go to see the doctor!!!” อย่างแน่นอน เพราะ “sick” ที่แปลว่า ป่วย จะออกเสียงว่า“ซิค” ถ้าจะหมายถึงเลขหก “six” ให้ออกเสียงว่า “ซิคส” ออกเสียง “ส” ท้ายคำ
17. Island/ Iceland
อีกหนึ่งชุดคำศัพท์ที่ถ้าคุณออกเสียงผิดเมื่อไหร่ความหมายเปลี่ยนไปเมื่อนั้น อย่างคำว่า “Island” ที่แปลว่า “เกาะ” คำนี้ต้องจำไว้ว่าไม่ออกเสียงตัว “s”อ่านว่า “ไอ-เลินด์” ได้เลย หลายคนมักจะชอบออกเสียงโดยมีตัว “s หรือ ซ” ระหว่างคำเป็น “ไอซ-แลน” ซึ่งจะไปพ้องเสียงกับคำว่า “Iceland” ที่แปลว่า“ประเทศไอซ์แลนด์” นั่นเอง
18. Valley/ Medley/ Volleyball/ Harley
คำว่า “หุบเขา” ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า “valley” ที่คนไทยหลายคนมักจะออกเสียงว่า “วัน-เล่” ซึ่งฝรั่งก็จะฟังเป็นว่า “บริการรับฝากจอดรถ” ที่มาจากคำว่า “valet parking” จะเห็นได้ตามโรงแรมและร้านอาหารหรูๆ ทั่วไป “แวะ-เลย์-ปาร์ค-กิง” แต่ถ้าหมายถึง “หุบเขา” ต้องออกเสียงว่า “แวล-ลี” ต้องจำไว้เลยว่าถ้ามีคำว่า “ley” จะต้องออกเสียงว่า “ลี” เช่น medley (เมด-ลีย์) ไม่ใช่ (เมด-เล่), volleyball (เวาะ-ลีย์-บอล) ไม่ใช่ (วอล-เล่-บอล) หรือแม้แต่ “Harley Davidison” ก็ต้องออกเสียงว่า “ฮาร์-ลีย์-เด-วิด-เซิน” ที่หมายถึง “มอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ นั่นเองจึงจะถูกต้อง
19. Syrup/ Syringe/ Lyrics
“พี่ครับ ขอไซรัปเพิ่มหน่อยครับ” ป้ายผิดโชว์ขึ้นทันที ตืด..ตืด เพราะศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลว่า “น้ำเชื่อม” หรือ syrup ไม่ได้อ่านว่า “ไซ-รัป” แต่จะต้องอ่านว่า “ซิ-เริพ" แต่ก็ต้องทำใจไว้นิดนึงว่าถ้าเราไปพูดกับคนไทยอาจยังไม่เข้าใจเท่ากับคำว่า “ไซ-รัป” นั่นเอง แต่ถ้าพูดกับฝรั่งก็ควรจะออกเสียงให้ถูกต้อง เหมือนกับคำว่า “syringe” ที่แปลว่า “เข็มฉีดยา” ที่มักจะได้ยินว่า “ไซ-ลิงค์” ถ้าไปพูดกับฝรั่งก็อาจจะนึก สลิงที่ไว้สำหรับห้อยโหนได้ ที่ถูกต้องคำนี้จะต้องออกเสียงว่า “ซิ-รินจ” หรือคำว่า “lyrics” อีกหนึ่งคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีตัว “y” เป็นพยัญชนะตัวที่สอง ที่คนไทยหลายคนมักออกเสียงว่า “ไล-ริคซ”กันเยอะ ที่ถูกแล้วต้องออกเสียงว่า “ลิ-ริคซ” ที่แปลว่า “เนื้อเพลง” นั่นเอง
20. Singer / Singing/ Belonging(s)
"singer" ศัพท์ฮิตติดหูอีกหนึ่งคำที่เรามักจะได้ยินคนอ่านออกเสียงว่า “ซิง-เกอร์” ที่แปลว่า “นักร้อง” การออกเสียงที่ถูกต้องคือ “ซิง-เงอร์” ส่วนการร้องเพลง “singing” ก็จะต้องออกเสียงว่า “ซิง-งิง” ไม่ใช่ “ซิง-คิง” (singking) จะแปลว่า “จมน้ำ” ออกเสียงผิดความหมายเปลี่ยนในทันที เช่นเดียวกับคำว่า “belonging(s)” ที่แปลว่า ของมีค่า คนไทยมักออกเสียงผิดอยู่บ่อยๆ ว่า “บี-ลอง-กิง” ที่ถูกต้องแล้วต้องออกเสียงว่า “บี-ลอง-งิง” เหมือนกับคำว่า singing นั่นเอง
รวบรวมข้อมูลจาก : Click โดย ครูคริส, อาจารย์ Adam Bradshaw และอาจารย์ Andrew Biggs
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่ : campus.mgr2014@gmail.com
100 บทเรียนภาษาอังกฤษ
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน
30 สำนวนภาษาอังกฤษ คำสแลงที่มักเจอในชีวิตประจำวัน (ภาค 1)
1. “Twenty-four Seven” สำนวนนี้หมายความว่าอะไร เนื่องจากหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง และหนึ่งอาทิตย์ก็มี 7 วัน สำนวนนี้จึงมีความหมายว่า “ตลอดเวลา ทุกๆนาทีของทุกๆวัน” ค่ะ
2. “Get the ball rolling” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “เริ่มทำอะไรสักอย่าง” แค่จำไว้ว่า “Let’s get the ball rolling” ความหมายเท่ากับ “Let’s start now-เราเริ่มกันเถอะ”
3. “Take it easy” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I don’t have any plans this weekend. I think I’ll take it easy.” ความหมายของสำนวนนี้ก็คือ “ผ่อนคลาย” หรือ “พักผ่อน” ค่ะ สำนวนนี้ก็เข้าใจง่ายเหมือนกันค่ะ “I’m going to take it easy.” ความหมายก็คือ “I’m going to relax.-ฉันจะพักผ่อนสักหน่อย”
4. “Sleep on it” ถ้ามีคนๆหนึ่งพูดว่า “I’ll sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอใช้เวลาในการตัดสินใจสักหน่อย” เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “I’ll get back to you tomorrow. I have to sleep on it.” ความหมายของเขาก็คือ “ฉันขอเวลาตัดสินใจสักหน่อย แล้วจะบอกคำตอบพรุ่งนี้” เพราะฉะนั้น “Sleep on it คือ ขอเวลาตัดสินใจ แล้วจะบอกคำตอบทีหลัง” ค่ะ
5. “I’m broke.” อันนี้ได้ยินบ่อยมากๆเลยค่ะ สำนวนนี้ไม่ได้หมายความว่ามีร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดเสียหรือใช้การไม่ได้แต่ความหมายจริงๆของสำนวนนี้ก็คือ “ฉันไม่มีเงินเลย” หรือ “ถังแตก” นั่นเองค่ะ “I’m broke.” เท่ากับ “I have no money – ฉันไม่มีเงินเลย” สำนวนนี้ใช้กันมาก และได้ยินกันบ่อยๆค่ะ
6. “Sharp” เมื่อใช้กับเวลา ยกตัวอย่างเช่น “The meeting is at 7 o’clock sharp!” คุณว่าหมายความว่าอะไรคะ ความหมายก็คือ “การประชุมจะเริ่มตอนเจ็ดโมงเป๊ะ” เวลามีคนใช้คำว่า “Sharp” ตามหลังเวลาพูดกับคุณ ความหมายก็คือเขาต้องการย้ำเวลานั้นๆ และบอกคุณว่า “อย่ามาสายนะ”
7. “Like the back of my hand” ความหมายของสำนวนนี้คืออะไร “the back of my hand หรือ หลังมือของตัวเอง” เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลังมือคุณ คุณเห็นอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าฉันพูดว่า “I know this city like the back of my hand.” ความหมายของฉันก็คือ “ฉันรู้จักเมืองนี้ดีมากๆ ฉันคุ้นเคยกับเมืองนี้” สำนวนนี้ก็ใช้กันบ่อยมากค่ะ เราอาจปรับเปลี่ยนใช้สำนวนนี้ได้ว่า “He knows this city like the back of ‘his’ hand” ก็ได้นะคะ ความหมายก็จะยังเหมือนกัน ก็คือ “รู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งดี หรือ คุ้นเคยเป็นอย่างดี” ค่ะ
8. “Give me a hand.” ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า “Do you want to give me a hand?” เขาหมายความว่า “Do you want to help me?” สมมุติว่ามีคนๆหนึ่งถือของมา แล้วเขาพูดว่า “Would you give me a hand?” เขาไม่ได้ขอมือคุณเฉยๆนะคะ เขากำลังขอให้คุณช่วยเขาหน่อยค่ะ “Would you give me a hand?” คือ “Would you help me?-คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
9. “In ages” ยกตัวอย่างเช่นใช้ในประโยคว่า “I haven’t seen him in ages” ความหมายของ “in ages” ก็คือ “for a long time-เป็นเวลานานมาก” นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้น “I haven’t seen him in ages” ก็เท่ากับ “I haven’t seen him for a long time-ฉันไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว” จำไว้นะคะ “in ages” แปลว่า “เป็นเวลานานมาก”
10. “Sick and tired” สำนวนนี้แปลได้ว่า “ไม่ชอบ หรือ เกลียด” ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพูดว่า “I’m sick and tired of doing homework.” ความหมายก็คือ “ฉันไม่อยากทำการบ้านแล้ว ฉันไม่ชอบทำการบ้านเลย”
11. “behind one’s back” แปลว่า พูดหรือกระทำโดยอีกคนหนึ่งไม่รู้ตัว หรือ พูดลับหลัง ตัวอย่างเช่น Pete loves to gossip Jay behind his back. (พีทชอบที่จะนินทาเจลับหลัง โดยเขาไม่รู้ตัว)
12. “turn one’s back on” แปลว่า ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือ ทอดทิ้ง ตัวอย่างเช่น John never turn his back on his girlfriend when she needs help. (จอห์นไม่เคยไม่เคยทอดทิ้งเฉยเมยต่อแฟนสาวของเขา เมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ)
13. “get back at” แปลว่า แก้แค้น แก้เผ็ด เอาคืน ตัวอย่างเช่น If it takes me 10 years I will get back at him. (ถึงแม้จะต้องเสียเวลาสัก 10 ปี ผมก็จะต้องแก้แค้นมัน)
14. “hold something back” แปลว่า ซ่อน ไม่เปิดเผย ไม่เต็มใจเปิดเผย ตัวอย่างเช่น I could tell from his nervousness that he was holding back something. (ฉันสามารถจะบอกจากอาการตื่นเต้นของเขาได้ว่า เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง)
15. “be my guest” แปลว่า พูดหรือทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจกัน
16. “be oneself” แปลว่า เป็นปกติธรรมดา “You haven’t been yourself lately. Is anything wrong?” (เธอดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ มีอะไรรึเปล่า)
17. “be tired of” แปลว่า รำคาญ เบื่อ เช่น I was tired of working for other people, so now I’m self-employed. (ผมเบื่อที่เป็นลูกจ้าง ขณะนี้ได้ออกมาทำกิจการของตนเองแล้ว)
18. “beyond hope” แปลว่า ไม่มีโอกาสที่จะดีขึ้น ตัวอย่างเช่น Everyone has tired to help him with his drink problem, but I think he is beyond hope. (ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาได้พยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เขาพ้นจากปัญหาดื่มเหล้า แต่ฉันว่าไร้ประโยชน์)
19. “big-headed” แปลว่า หยิ่งยะโส ตัวอย่างเช่น “Here she comes! she always boasts about her success. I don’t know why she’s so big-headed.” (นี่ไงล่ะ คนที่ชอบคุยโวว่าตัวเองเก่ง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงชอบอวดตัวเองนัก)
20. “A great deal” แปลว่า จำนวนมาก มากมาย ตัวอย่างเช่น We’ve heard a great deal about you. (พวกเราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมากมาย)
21. “After all” แปลว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น But after all, they are our children. (แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นลูกๆ ของเรานะ)
22. “After one’s own heart” แปลว่า ได้ดังใจ สมใจคิด ถูกใจจริงๆ ตัวอย่างเช่น I love you, boy. You are always a child after my own heart. (พ่อรักลูกนะ ลูกเป็นลูกที่สมใจพ่อเสมอ)
23. “All over the place ” แปลว่า ทั่วทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง กระจัดกระจาย เกลื่อน ตัวอย่างเช่น Your books are all over the place. (หนังสือของคุณวางอยู่ทั่วไปหมด)
24. “Around the corner” แปลว่า อยู่ใกล้ๆ อยู่ไม่ไกล ใกล้เข้ามาแล้ว ตัวอย่างเช่น The examination is right around the corner. (การสอบใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว)
25. “As a matter of fact” แปลว่า อันที่จริง ตามที่จริง จริงๆ แล้วตัวอย่างเช่น As a matter of fact, l don’t like them either. (อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน)
26. “As far as I am concerned” แปลว่า ตามความเห็นของฉัน ตามความคิดฉัน เท่าที่ทราบ ตัวอย่างเช่น As far as I am concerned, he should get fired. (ตามความเห็นฉันนะ เขาควรจะถูกไล่ออก)
27. “Watch your mouth” แปลว่า ระวังปาก ระวังคำพูด มีความหมายเดียวกับ Watch your tongue
28. “Let the cat out of the bag” แปลว่า หมายถึง หลุดปากเผยความลับออกมา ตัวอย่างเช่น “I let the cat out of the bag about their wedding plans.”
29. “To feel under the weather” หมายถึง ไม่สบาย ป่วย ตัวอย่างประโยค “I’m really feeling under the weather today; I have a terrible cold.”
30. “Jack of all trades” หมายถึง คนที่รู้ทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่เก่งจริงสักอย่าง ตัวอย่างประโยค “A jack of all trades,master of none.” แปลว่า รู้ไปหมด แต่ไม่เก่งสักอย่าง
How do you feel today? (คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆ)
“Emotions” – Which one best describes you?
Today I feel... วันนี้ฉันรู้สึก...
Exhausted : อ่อนเปลี้ยเพลียแรง
Confused : สับสน
Shocked : ตกใจกลัว
Guilty : รู้สึกผิด
Suspicious : หวาดระแวง / ขี้สงสัย
Bored : เบื่อ
Hysterical : เป็นประสาท
Frustrated : สิ้นหวัง
Miserable : ห่อเหี่ยวใจ
Confident : มั่นใจ
Scared : หวาดกลัว
Solitary : อ้างว้าง
Happy : มีความสุข
Unhappy : เศร้า
Mean : ใจดำ / ใจแคบ
Furious : เกรี้ยวกราด
Embarrassed : กระดากอาย
Anxious : กระวนกระวายใจ
Stuck up : เย่อหยิ่ง
Depressed : หดหู่
Surprised : ประหลาดใจ
Hopeful : เต็มไปด้วยความหวัง
Shy : เขินอาย
In love : กำลังมีความรัก
Jealous : อิจฉา / ริษยา
Today I feel good about talking with you... วันนี้ฉันรู้สึกดีที่ได้พูดคุยกับคุณ ^^
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)