วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

N1-ฝึกพูดภาษาอังกฤษ-ในชีวิตประจำวัน-6 เดือน-เก่งแน่นอน

https://www.youtube.com/watch?v=gifd7XZNrGs

ภาษาพูดที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ

https://www.youtube.com/watch?v=IzOrLzOwl0w

ฝรั่งสองคนสอนคำว่าหมั่นไส้

https://www.youtube.com/watch?v=juov7y-Y78U

ฝรั่งสองคนสอนคำว่ากวนประสาท

https://www.youtube.com/watch?v=9cFD-gHQQW4&feature=youtu.be&t=6m12s

ประโยคภาษาอังกฤษที่คนไทยมักพูดผิดอยู่เสมอ

เนื่องจากคนไทยเรามีภาษาประจำชาติ และใช้กันเป็นทางการคือภาษาไทย ดังนั้นในการพูดภาษาอังกฤษให้ถูกต้อตามแบบฉบับเจ้าของภาษา native speaker 100% นั้น เป็นอะไรที่เป็นไปได้ยากมาก แม้กระทั่งการเรียนภาษาอังกฤษเอง เราก็เรียนแบบวิธีการท่องจำ ได้ฝึกปฏิบัติ ฝึกพูดสนทนาก็แค่ในห้องเรียน พอออกจากห้องเรียนเราก็ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาในการสื่อสาร ดังนั้นจึงไม่แปลกหากคนไทยเราจะใช้ภาษาที่ผิดเพี้ยน สับสนไป งั้นเรามาดูกันเลยค่ะประโยคในภาษาอังกฤษประโยคใดบ้างที่เราๆมักพูดผิดๆกัน
  1. ประโยคที่ใช้ผิด “Where you go?”  คุณไปไหน” จริงๆแล้วถือว่าผิดเนื่องจากไม่มีคำกริยาในประโยค เป็นภาษาพูดแบบง่ายๆ ฝรั่ง(พยายาม)เข้าใจ เแต่ผิดตามหลักไวยากรณ์
  2.      “Where are you going?”
  3. ประโยคที่ใช้ผิด I sorry.”  ฉันเสียใจ” ผิดตามหลักไวยากรณ์
  4.      “I am sorry.” ต้องมี verb to be หน้าคำว่า sorry
  5. ประโยคที่ใช้ผิด “Don’t be worry.” “อย่ากังวลใจไปเลย” ผิดตามหลักไวยากรณ์
  6.      Don’t worry. ไม่ต้องมี be เนื่องจากคำว่า worry เป็นคำกริยา
  7. ประโยคที่ใช้ผิด Don’t serious.” ไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำว่า serious เป็นคำ adjective หรือคำคุณศัพท์ ดังหน้าหน้าคำว่า serious ต้องมีคำว่า beเป็นคำกริยาช่วยมาด้วย
  8.      “Don’t be serious.”อย่าจริงจังเกินไปเลย
  9. ประโยคที่ใช้ผิด “No have “ไม่มี” ผิดตามหลักไวยากรณ์
  10.      “I don’t have money.” ต้องใช้ do หรือ does ในการแต่งประโยคปฏิเสธ
  11. ประโยคที่ใช้ผิด “I will telephone you.” ไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำว่า telephone เป็นคำนาม
  12.      “I will call you.ผมจะโทรหาคุณ è คำว่า call เป็นคำกริยา แปลว่า โทร
  13. ประโยคที่ใช้ผิด “Please listen me.” ไม่ถูกต้อง หลังคำว่า  listen ต้องมี to เป็นคำบุรพบท
  14.      “Please listen to me.”กรุณาฟังผม
  15. ประโยคที่ใช้ผิด “I want go home.” ไม่ถูกต้อง หลังคำว่า want ต้องมี to เป็นคำบุรพบท
  16.      I want to go home.ผมอยากกลับบ้าน
  17. ประโยคที่ใช้ผิด I want go home.” ไม่ถูกต้อง หลังคำว่า want ต้องมี to เป็นคำบุรพบท
  18.      “I want to go home.”ผมอยากกลับบ้าน
  19. ประโยคที่ใช้ผิด “I can to speak English. ไม่ถูกต้อง เพราะหลังคำว่า can ไม่ต้องมี to มาตาม สามรถตามด้วยคำกริยาได้เลย
  20.      “I can speak English.ผมสามารถพูดภาษาอังกฤษ
เรื่องของการขออนุญาตไปห้องน้ำ หรือขออนุญาตทำธุระสิ่งต่างๆในห้องน้ำเราสามารถขออนุญาตโดยใช้คำขออนุญาตต่างๆดังนี้ได้ค่ะ
การขออนุญาตเราจะใช้คำขออนุญาตโดยใช้ May I …….?
            เช่น  May I go to the toilet, please?
                  May I go to the restroom, please?
                  May I go to the bathroom, please?
                  May I go to the washroom, please?
นอกจากนั้น ยังสามารถใช้คำว่า use แปลว่า ใช้ ในการขออนุญาตใช้ห้องน้ำได้เช่นกันนะคะ
  1. May I use the toilet?
  2. May I use the restroom?
  3. May I use the bathroom?
  4. May I use the washroom?
  5. May I use the water closet?
ถัดมาภาษาที่มักใช้กันอย่างไม่เป็นทางการ แต่คนมักใช้พูดในการสื่อความหมายการทำธุระ หรือกิจกรรมต่างๆในห้องน้ำได้แก่
  1. number one
หมายถึง การทำธุระเบา หรือการปวดปัสสาวะ
  1. number two
  2. การทำธุระหนัก หรือการปวดอุจจาระ
John: Is there any toilet around here? I have number two.

ส่วนคำศัพท์ที่แปลว่า ฉี่ จริงๆแล้วมีสามคำ ได้แก่ urinate ยู รี เนท ซึ่งใช้เป็นทางการทางการแพทย์ คำที่สองคือ pee ใช้สำหรับพูดคุยกับเด็ก และ piss
    ตัวอย่างประโยคในการพูด
ไม่เป็นทางการ
“I’m going number 1.”    ถ่ายหนัก
“I’m going number 2.”    ถ่ายเบา
“I need to pee.”             ฉันปวดฉี่   (ใช้พูดกับเพือน คนในครอบครัว หรือคนที่สนิทกัน)
“I’m gonna poo(p).”       ฉันจะไปอึ (ใช้พูดกับเพือน คนในครอบครัว หรือคนที่สนิทกัน)

รวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ...ออกเสียงผิด ชีวิตเปลี่ยน!!!

   1. Asia
       
        เริ่มกันที่คำศัพท์ที่เราคุ้นเคยกันอยู่เป็นประจำเวลาที่ฝรั่งมาถามว่าคุณเป็นคนอะไร? แล้วอยากจะตอบเขาไปว่า “ฉันเป็นคนเอเชีย” หรือ “Asian” จะต้องอ่านออกเสียงว่า “เอ-แฉ็น” ส่วนคำว่า “Asia” ที่แปลว่า “ทวีปเอเชีย” คนไทยส่วนใหญ่จะออกเสียงตรงตัวว่า “เอ-เซีย” บ้าง “อา-เซีย” บ้าง แต่ความจริงแล้วศัพท์็คำนี้จะต้องออกเสียงว่า “เอ-ฉะ” ดังนั้น “south east asia” หรือทวีปเอเชียอาคเนย์ ก็ต้องออกเสียงเป็น “เซาท์-อีส-เอ-ฉะ” เช่นเดียวกัน
       
       2.Tuition
       
        สำหรับนักเรียนนักศึกษาจะต้องเจอศัพท์คำนี้อยู่เป็นประจำ “Tuition” ที่แปลว่า “ค่าเทอม ค่าเล่าเรียน” และเชื่อได้เลยว่ามีอีกหลายคนที่ออกเสียงคำศัพท์คำนี้ผิดไปอย่างมหันต์ว่า “ทุย-ชั่น หรือ ตุ๋ย-ฉัน” งานนี้ตัวใครตัวมัน ฝรั่งมีงง คนไทยมีขำกันแน่นอนว่าอะไรคือ “ตุ๋ย-ฉัน” ซึ่งที่ถูกต้องแล้วคำว่า“tuition” จะต้องอ่านออกเสียงว่า “ทู-วิ-เชิน” ไม่เช่นนั้น ออกเสียงคำนี้ผิดชีวิตคุณเปลี่ยนแน่นอน!!!
       
       3. Comfortable/ Vegetable
       
        คำนี้เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่ไม่เชิงว่าออกเสียงผิดซะทีเดียว แต่เป็นการเน้นเสียงที่ผิดมากกว่า “comfortable” คนไทยส่วนใหญ่จะอ่านออกเสียงตรงตัวว่า “คอม-ฟอร์ท-ทะ-เบิล” ที่แปลว่า “สบาย” อันจริงแล้วคำนี้จะต้องออกเสียงเน้นหนักที่พยางค์แรก ส่วนพยางค์ที่สองแทบไม่ออกเสียงเลย การออกเสียงที่ถูกต้องจึงต้องอ่านว่า “คัมฟ-ทะ-เบิล” ห้ามออกเสียง “ฟอร์ท” โดยเด็ดขาด ออกเสียง “ฟึ่ท” สั้นๆ เบาๆ อยู่ในลำคอนิดเดียวเท่านั้น คล้ายกับคำว่า“vegetable” ที่แปลว่า “ผัก” ต้องอ่านว่า “เว็ท-ทะ-เบิล” ไม่ใช่ “เว็จ-เจ็ท-ทะ-เบิล” นะเด็กๆ 
       
       4. Suite/ Suit
       
        เวลาที่คุณจะไปพักโรงแรมแล้วต้องการห้องหรูหรา ที่คนไทยมักจะเรียกว่า “ห้องสูท” ในภาษาอังกฤษจะหมายถึง “suit” ที่แปลว่า ชุดสูท แต่เมื่อเติมตัว“e” เข้าไปก็จะกลายเป็น “suite” ที่แปลว่า “ห้องชุดหรูหราในโรงแรม” หลายคนจึงเข้าใจผิดว่าจะต้องออกเสียงเหมือนกันคือ “สูท” และถ้าไปพูดกับฝรั่งว่า“I want a suite room.” แล้วดันออกเสียงว่า “สูท-รูม” ความหมายจะเปลี่ยนทันทีกลายเป็น “ฉันต้องการห้องเก็บชุดสูท” เพราะคำศัพท์ที่แปลว่า “ห้องชุดในโรงแรม” ต้องออกเสียงว่า “ส-วีท” ไม่ใช่ “สูท” เหมือนที่คนไทยหลายคนเข้าใจกัน
       
       5. Yoga
       
        “โยคะ” กีฬายอดนิยมสำหรับสาวๆ ในยุคนี้ เป็นอีกหนึ่งคำที่เราต้องเรียนรู้การออกเสียงที่ถูกต้อง เพราะเวลาที่ฝรั่งถามคุณว่า “Do you like yoga?” (ดู-ยู-ไลค์-โย-เกอะ) คำนี้ “yoga” ในภาษาอังกฤษฝรั่งจะออกเสียงว่า “โย-เกอะ” แต่คนไทยจะออกเสียงว่า “โย-คะ” เช่นเดียวกันถ้าจะตอบฝรั่งว่า “เล่นโยคะ” จะต้องใช้คำว่า “do yoga” ไม่ใช่ “play yoga” 
       
       
       6. Error
       
        ศัพท์คำนี้จะได้ยินบ่อยเวลาที่เราใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แล้วอยู่ๆ เครื่อง “error” คนไทยก็จะพูดว่าเครื่อง “เออ-เร่อ” ขึ้นมาทันที ซึ่งใช่กันอย่างแพร่หลายและเข้าใจกันผิดมาตลอด คำว่า “error” ที่แปลว่า “ข้อผิดพลาด, ความคลาดเคลื่อน” ที่ถูกต้องแล้วจะอ่านว่า “แอ-เร่อะ” ออกเสียงเน้นหนักที่พยางค์แรก ส่วนพยางค์หลังออกเสียงเบาๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นอันถูกต้อง
       
       7. Fragile
       
        “Fragile” คำนี้จะพบบ่อยในป้ายสติ๊กเกอร์ภาษาอังกฤษที่ติดไว้สำหรับสิ่งของที่ “เปราะบาง” เพื่อระวังของแตก หัก พัง นั่นเอง และแน่นอนว่าคนไทยส่วนใหญ่มักจะอ่านป้ายคำนี้ว่า “ฟรา-จิ้ล” อันนี้ผิดอย่างแน่นอน การออกเสียงที่ถูกสำหรับศัพท์คำนี้ก็คือ “แฟรก-ไจล์” เวลาที่เราจะพูดกับฝรั่งว่าให้ระวังสิ่งของในกล่อง หรือในกระเป๋า แตกหักต้องพูดว่า “แฟรก-ไจล์” ไม่ใช่ "ฟรา-จิ้ล" ใครที่เคยพูดแบบนี้เปลี่ยนด่วน!!!
       
       8. Dove
       
        ศัพท์คำนี้มั่นใจว่าคนไทยต้องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน เพราะเป็นคำที่ใช้เรียกโฆษณาผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งว่า “โดฟ” และเข้าใจว่าเป็นความหมายของ“นกเขา” ในภาษาไทยเวลาเราพูดถึงสัญลักษณ์สันติภาพก็จะนึกถึงนกสีขาว นั่นคือนกพิราบขาว แต่ในภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งอื่นๆ นกที่เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพคือ “นกเขาสีขาว” ซึ่งก็คือคำว่า “dove” และอ่านออกเสียงว่า “เดิฟ” ไม่ใช่ “โดฟ” ไม่เช่นนั้นอาจจะหมายถึง “dove (โด๊ฟ)” ที่เป็นรูปอดีตของ“dive” ที่แปลว่า “ดำน้ำ, กระโดดลงน้ำ” ซึ่งมีความหมายต่างกัน
       
       9. Sword
       
        ศัพท์คำนี้มักจะพบบ่อยในชื่อหนัง หรือเกมส์ ที่มีการใช้ “ดาบ” ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง “Shadow of the Sword" คำว่า “sword” คนไทยหลายคนมักออกเสียงคำศัพท์นี้ผิดว่า “สะ-หวอด” ตรงตัวเป๊ะ แต่นั่นเป็นการออกเสียงอ่านที่ผิด ที่ถูกต้องจะต้องออกเสียง “sword” ว่า “ซอร์ด” สั้นๆ พยางค์เดียว ตัดเสียง “W” ออกไปก็จะได้คำอ่านที่ถูกต้อง
       
       10. Receipt/ Debt
       
        “receipt” คำนี้จะต้องอ่านออกเสียงว่า “รี-ซีท” ที่แปลว่า “ใบเสร็จ” ไม่ใช่ “รี-ซิป” เหมือนที่หลายคนเข้าใจและอ่านคำนี้ผิดอยู่บ่อยๆ เทคนิคการจำก็คือ คำที่ลงท้ายด้วย “pt” ตัว “p” จะไม่ออกเสียง เช่นเดียวกับคำที่มักออกเสียงผิดบ่อยๆ อีกหนึ่งคำ “debt” ที่แปลว่า “หนี้สิน” มักได้ยินคนอ่านออกเสียงคำนี้ว่า"เด็บ" คำที่ลงท้ายด้วย “bt” ตัว “b” จะไม่ออกเสียงด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นที่ถูกต้องจะต้องอ่านว่า “เด็ท” ห้ามใช้ “เด็บ” โดยเด็ดขาด
       
       11. Juice/ Cruise
       
        อีกหนึ่งคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรามักพบบ่อยในชีวิตประจำวัน และต้องเรียกได้ว่าใช่ผิดกันเป็นประจำด้วยเช่นกัน คำแรกคือคำว่า “juice” ที่แปลว่า “น้ำผลไม้” แต่หลายคนมักออกเสียงว่า “จุ๊ยส์” นั่นเป็นการออกเสียงที่ผิด ที่ถูกต้องแล้วต้องอ่านว่า “จูซ” น้ำผลไม้ เช่นเดียวกับคำว่า “cruise” การล่องเรือ ที่มักจะได้ยินคนไทยพูดว่า “ครุยส์” ความจริงแล้วต้องออกเสียงว่า “ครูซ” ถึงจะถูกต้อง โดยทั้งสองคำศัพท์มีเทคนิคการจำอยู่ที่ เมื่อมี “_ui_” อยู่ในคำศัพท์นั้นๆ มักจะออกเสียง “สระอู” ลากเสียงยาวๆ ด้วยนะอย่าลืม
       
       
       12. Science/ Scientist
       
        ศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลว่า “วิทยาศาสตร์” ที่หลายคนมักออกเสียงผิดโดยการอ่านว่า “ซาย” ถ้าฝรั่งฟังแล้วจะเข้าใจว่า “sigh (ซาย)” ที่แปลว่า “ถอนหายใจ” หรือ “sign (ซาย-น)” ที่แปลว่า “ป้าย” นั่นเอง ถ้าจะสื่อความหมายของ “science” ที่แปลว่า “วิทยาศาสตร์” ต้องออกเสียงว่า “ไซ-เยินซ” ส่วน“Scientist” ก็ต้องออกเสียงว่า “ไซ-เยิน-ทิซ” หรือ นักวิทยาศาสตร์ นั่นเอง
       
       13. Volume/ Value 
       
        ศัพท์ชุดตัว “วี” เจ้าปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดจึงมักออกเสียงผิดอยู่เป็นประจำ คำแรกคือ “volume” ที่แปลว่า “เสียง” คนไทยส่วนใหญ่จะออกเสียงว่า “วอ-ลุ่ม” ให้ได้ยินอยู่เป็นประจำ แม้ว่าคนไทยฟังแล้วจะเข้าใจกันเอง แต่ออกเสียงแบบนี้รับรองฝรั่งงง!!! เพระาที่ถูกต้องแล้วศัพท์คำนี้ต้องออกเสียงว่า“โวล-ยุ่ม” เช่นเดียวกับคำว่า “value” ที่แปลว่า “มูลค่า” ที่ไม่ได้ออกเสียงว่า “แว-ลู่” แต่ต้องอ่านออกเสียงว่า “แฟ-ยิ่ว” อาจฟังดูไม่ค่อยคุ้นสำหรับบางคนอยู่สักหน่อย ขอเพียงแต่ให้เรามั่นใจว่าเราออกเสียงถูกต้องเป็นอันใช้ได้
       
       14. Onion/ Iron
       
       "onion" เชื่อว่าคนไทยหลายคนต้องออกเสียงคำนี้ว่า “ออ-เนี่ยน” ที่แปลว่า "หัวหอม" แต่นั่นเป็นการออกเสียงที่ผิด ที่ถูกต้องแล้วจะต้องอ่านออกเสียงว่า “อันเยิน” หรืออีกหนึ่งคำที่ออกเสียงคำท้ายคล้ายๆ กันนั่นก็คือ “iron” ที่แปลว่า “เหล็ก, เตารีด” แต่เรามักได้ยินคนไทยออกเสียงคำนี้ว่า “ไอ-รอน หรือ ไอ-ออน” ซึ่งความจริงแล้วคำนี้จะต้องออกเสียงว่า “ไอ-เยิร์น” ดังนั้นภาพยนตร์สุดฮิตมนุษย์เหล็กใส่ชุดสีแดง “Iron Man” ก็จะต้องออกเสียงว่า “ไอ-เยิร์น-แมน” ไม่ใช่ “ไอ-รอน-แมน” นะจ๊ะ
       
       15. Chaos/ Architect
       
        หลายคำในภาษาอังกฤษที่พอเราเห็นคำขึ้นต้นเป็น “ch” ก็มักจะออกเสียงเป็นตัว “ช” เช่นเดียวกับคำว่า “chaos” ที่พอเห็นว่าขึ้นต้นด้วย ch ก็อ่านออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “ชา-ออส หรือ เช้าท์” ในทันที ซึ่งต้องจำไว้เลยว่าศัพท์บางคำในภาษาอังกฤษก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน เช่นเดียวกับคำว่า "chaos" จะต้องออกเสียงว่า “เค-ออส” ที่แปลว่า “ความยุ่งเหยิง” เช่นเดียวกับศัพท์คำว่า “architect” ทีแปลว่า “สถาปนิก” จะต้องอ่านว่า “อาร์-คิ-เท็คท”
       
       
       16. Six/ Sick
       
        ชุดคำศัพท์ที่ออกเสียงคล้ายกันก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เช่นนั้นออกเสียงเพี้ยนไปนิด แต่ผิดความหมายเยอะเว่อร์ อย่างเช่นคำว่า “six” ที่แปลว่า“หก” และ “sick” ที่แปลว่า “ป่วย” หลายคนออกเสียงเหมือนกันทำให้ฝรั่งเกิดอาการมึนและงงได้ เช่น ถ้าคุณจะบอกว่าคุณเป็นหมายเลข 6 แล้วพูดกับฝรั่งว่า“I am six. (ไอ-แอม-ซิค)” รับรองเลยว่าฝรั่งจะต้องตอบกลับมาว่า “Go to see the doctor!!!” อย่างแน่นอน เพราะ “sick” ที่แปลว่า ป่วย จะออกเสียงว่า“ซิค” ถ้าจะหมายถึงเลขหก “six” ให้ออกเสียงว่า “ซิคส” ออกเสียง “ส” ท้ายคำ
       
       17. Island/ Iceland
       
        อีกหนึ่งชุดคำศัพท์ที่ถ้าคุณออกเสียงผิดเมื่อไหร่ความหมายเปลี่ยนไปเมื่อนั้น อย่างคำว่า “Island” ที่แปลว่า “เกาะ” คำนี้ต้องจำไว้ว่าไม่ออกเสียงตัว “s”อ่านว่า “ไอ-เลินด์” ได้เลย หลายคนมักจะชอบออกเสียงโดยมีตัว “s หรือ ซ” ระหว่างคำเป็น “ไอซ-แลน” ซึ่งจะไปพ้องเสียงกับคำว่า “Iceland” ที่แปลว่า“ประเทศไอซ์แลนด์” นั่นเอง 
       
       18. Valley/ Medley/ Volleyball/ Harley
       
        คำว่า “หุบเขา” ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า “valley” ที่คนไทยหลายคนมักจะออกเสียงว่า “วัน-เล่” ซึ่งฝรั่งก็จะฟังเป็นว่า “บริการรับฝากจอดรถ” ที่มาจากคำว่า “valet parking” จะเห็นได้ตามโรงแรมและร้านอาหารหรูๆ ทั่วไป “แวะ-เลย์-ปาร์ค-กิง” แต่ถ้าหมายถึง “หุบเขา” ต้องออกเสียงว่า “แวล-ลี” ต้องจำไว้เลยว่าถ้ามีคำว่า “ley” จะต้องออกเสียงว่า “ลี” เช่น medley (เมด-ลีย์) ไม่ใช่ (เมด-เล่), volleyball (เวาะ-ลีย์-บอล) ไม่ใช่ (วอล-เล่-บอล) หรือแม้แต่ “Harley Davidison” ก็ต้องออกเสียงว่า “ฮาร์-ลีย์-เด-วิด-เซิน” ที่หมายถึง “มอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ นั่นเองจึงจะถูกต้อง
       
       19. Syrup/ Syringe/ Lyrics
       
        “พี่ครับ ขอไซรัปเพิ่มหน่อยครับ” ป้ายผิดโชว์ขึ้นทันที ตืด..ตืด เพราะศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลว่า “น้ำเชื่อม” หรือ syrup ไม่ได้อ่านว่า “ไซ-รัป” แต่จะต้องอ่านว่า “ซิ-เริพ" แต่ก็ต้องทำใจไว้นิดนึงว่าถ้าเราไปพูดกับคนไทยอาจยังไม่เข้าใจเท่ากับคำว่า “ไซ-รัป” นั่นเอง แต่ถ้าพูดกับฝรั่งก็ควรจะออกเสียงให้ถูกต้อง เหมือนกับคำว่า “syringe” ที่แปลว่า “เข็มฉีดยา” ที่มักจะได้ยินว่า “ไซ-ลิงค์” ถ้าไปพูดกับฝรั่งก็อาจจะนึก สลิงที่ไว้สำหรับห้อยโหนได้ ที่ถูกต้องคำนี้จะต้องออกเสียงว่า “ซิ-รินจ” หรือคำว่า “lyrics” อีกหนึ่งคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีตัว “y” เป็นพยัญชนะตัวที่สอง ที่คนไทยหลายคนมักออกเสียงว่า “ไล-ริคซ”กันเยอะ ที่ถูกแล้วต้องออกเสียงว่า “ลิ-ริคซ” ที่แปลว่า “เนื้อเพลง” นั่นเอง
       
       20. Singer / Singing/ Belonging(s)
       
       "singer" ศัพท์ฮิตติดหูอีกหนึ่งคำที่เรามักจะได้ยินคนอ่านออกเสียงว่า “ซิง-เกอร์” ที่แปลว่า “นักร้อง” การออกเสียงที่ถูกต้องคือ “ซิง-เงอร์” ส่วนการร้องเพลง “singing” ก็จะต้องออกเสียงว่า “ซิง-งิง” ไม่ใช่ “ซิง-คิง” (singking) จะแปลว่า “จมน้ำ” ออกเสียงผิดความหมายเปลี่ยนในทันที เช่นเดียวกับคำว่า “belonging(s)” ที่แปลว่า ของมีค่า คนไทยมักออกเสียงผิดอยู่บ่อยๆ ว่า “บี-ลอง-กิง” ที่ถูกต้องแล้วต้องออกเสียงว่า “บี-ลอง-งิง” เหมือนกับคำว่า singing นั่นเอง
       
       รวบรวมข้อมูลจาก : Click โดย ครูคริส, อาจารย์ Adam Bradshaw และอาจารย์ Andrew Biggs
       ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่ : campus.mgr2014@gmail.com 

ฝึกออกเสียง 40 ประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐาน

https://www.youtube.com/watch?v=Dh9xvz3FGfQ